จำนวนการดูหน้าเว็บรวม

วันอาทิตย์ที่ 4 มีนาคม พ.ศ. 2555





ประเทศตุรกี  หรือ  ชื่อทางการว่า สาธารณรัฐตุรกี
ธงชาติตุรกี
เป็นประเทศที่มีดินแดนทั้งในบริเวณบนคาบสมุทรบอลข่านในทวีปยุโรปใต้ และคาบสมุทรอานาโตเลียในเอเชียตะวันตกเฉียงใต้ ตุรกีมีพรมแดนทางด้านทิศตะวันออกติดกับประเทศจอร์เจีย อาร์เมเนีย อาเซอร์ไบจาน และอิหร่าน มีพรมแดนทางด้านทิศใต้ติดกับอิรัก ซีเรีย และทะเลเมดิเตอร์เรเนียน ส่วนทางทิศตะวันตกติดกับกรีซ บัลแกเรีย และทะเลอีเจียน ทางเหนือติดกับทะเลดำ ส่วนที่แยกอานาโตเลียและเทรซออกจากกันคือทะเลมาร์มาราและช่องแคบตุรกี (ได้แก่ช่องแคบบอสฟอรัสและช่องแคบดาร์ดะเนลส์) ซึ่งมักถือเป็นพรมแดนระหว่างทวีปเอเชียกับยุโรป จึงทำให้ตุรกีเป็นประเทศที่มีดินแดนอยู่ในหลายทวีป
    
ภูมิประเทศ
ตุรกีเป็นประเทศสองทวีปที่มีดินแดนอยู่ทั้งในทวีปเอเชียและทวีปยุโรป ตุรกีในฝั่งเอเชียซึ่งครอบคลุมบริเวณส่วนใหญ่ของคาบสมุทรอานาโตเลีย นับเป็นพื้นที่ร้อยละ 97 ของประเทศ และถูกแยกจากตุรกีฝั่งยุโรปด้วยช่องแคบบอสพอรัส ทะเลมาร์มะรา และช่องแคบดาร์ดาเนลเลส (ซึ่งรวมกันเป็นพื้นน้ำที่เชื่อมระหว่างทะเลดำกับทะเลเมดิเตอร์เรเนียน) ตุรกีในฝั่งยุโรปซึ่งตั้งอยู่บนคาบสมุทรบอลข่านมีพื้นที่คิดเป็นร้อยละ 3 ของทั้งประเทศ ดินแดนของตุรกีมีรูปร่างคล้ายสี่เหลี่ยมผืนผ้าที่มีความยาวมากกว่า 1,600    

         แผนที่ภูมิประเทศตุรกี                            กิโลเมตร และกว้างประมาณ 800 กิโลเมตร  ตุรกีมีพื้นที่ (รวมทะเลสาบ) ประมาณ 783,562 ตารางกิโลเมตร
ตุรกีถูกล้อมรอบด้วยทะเลสามด้าน ได้แก่ทะเลอีเจียนทางตะวันตก ทะเลดำทางเหนือ และทะเลเมดิเตอร์เรเนียนทางใต้ นอกจากนี้ ยังมีทะเลมาร์มะราในเขตตะวันตกเฉียงเหนือ
ตุรกีฝั่งเอเชียที่มักเรียกว่าอานาโตเลียหรือเอเชียไมเนอร์ประกอบด้วยที่ราบสูงในตอนกลางของประเทศ อยู่ระหว่างเทือกเขาทะเลดำตะวันออกและเกอรอลูทางตอนเหนือกับเทือกเขาเทารัสทางตอนใต้ และมีที่ราบแคบ ๆ บริเวณชายฝั่ง ทางตะวันออกของตุรกีมีลักษณะเป็นภูเขาและเป็นต้นน้ำของแม่น้ำหลายสายเช่น แม่น้ำยูเฟรติส แม่น้ำไทกริส และแม่น้ำอารัส นอกจากนี้ยังมีทะเลสาบวัน และยอดเขาอารารัด ซึ่งเป็นจุดสูงสุดของตุรกีที่ 5,165 เมตร
สภาพภูมิประเทศที่หลากหลายนั้นเป็นผลมาจากการเคลื่อนไหวของเปลือกโลกที่เกิดขึ้นมาเป็นเวลาหลายพันปี และยังคงปรากฏให้เห็นในปัจจุบันในรูปของแผ่นดินไหวที่เกิดขึ้นบ่อย ๆ และภูเขาไฟระเบิดในบางครั้ง ช่องแคบบอสฟอรัสและช่องแคบดาร์ดาเนลเลสก็เกิดจากแนวแยกของเปลือกโลกที่วางตัวผ่านตุรกีทำให้เกิดทะเลดำขึ้น ทางตอนเหนือของประเทศมีแนวแยกแผ่นดินไหววางตัวในแนวตะวันตกไปยังตะวันออก ซึ่งเป็นสาเหตุของแผ่นดินไหวครั้งใหญ่ในปีพ.ศ. 2542



ประชากร

ในปี พ.ศ. 2550 ตุรกีมีประชากร 70.5 ล้านคน

และมีอัตราการเติบโตร้อยละ 1.04 ต่อปี

ความหนาแน่นของประชากรเฉลี่ย 92 คนตารางกิโลเมตร

ความหนาแน่นของประชากรในแต่ละจังหวัดแตกต่างกันตั้งแต่ 11 คนต่อตารางกิโลเมตร (ในตุนเจลี) จนถึง 2,420 คนต่อตารางกิโลเมตร (ในอิสตันบูล)
ค่ามัธยฐานของอายุประชากรคือ 28.3 จากข้อมูลของทางการในปี พ.ศ. 2548 อายุคาดหมายเฉลี่ยของประชากรทั้งหมดคือ 71.3 ปี
ประชากรส่วนใหญ่ของตุรกีมีเชื่อสายเตอร์กิช ซึ่งมีอยู่ประมาณ 50 ถึง 55 ล้านคน ชนชาติอื่น ๆ ที่สำคัญได้แก่ชาวเคิร์ด, เซอร์ซาสเซียน, ซาซา บอสเนีย, จอร์เจีย, อัลเบเนีย, โรมา (ยิปซี), อาหรับ และอีก 3 ชนชาติที่ได้รับการยอมรับจากทางการได้แก่พวกกรีก, อาร์เมเนีย และยิว ในบรรดาชนชาติเหล่านี้ กลุ่มที่ใหญ่ที่สุดคือชาวเคิร์ด (ประมาณ 12.5 ล้านคน) ซึ่งมักจะอาศัยอยู่ทางตะวันออกเฉียงใต้ของประเทศ


                                                                            ชาวตุรกี

หลังสงครามโลกครั้งที่ 2 ชาวตุรกีจำนวนมากอพยพไปยังยุโรปตะวันตก (โดยเฉพาะเยอรมนีตะวันตก) เนื่องจากความต้องการแรงงานในยุโรปเพิ่มขึ้น ทำให้เกิดชุมชนชาวตุรกีนอกประเทศขึ้น แต่ในระยะหลังตุรกีกลับกลายเป็นจุดหมายของผู้อพยพจากประเทศข้างเคียง ซึ่งมีทั้งผู้อพยพที่ปักหลักอยู่ในประเทศตุรกีและผู้ที่ใช้ตุรกีเป็นทางผ่านต่อไปยังประเทศกลุ่มยุโรป
ศาสนา
ร้อยละ 99 นับถือศาสนาอิสลาม ที่เหลือเป็นคริสต์นิกายกรีกออร์ทอดอกซ์ คริสต์นิกายจอร์เจียนออร์ทอดอกซ์ คริสต์นิกายโรมันคาทอลิก คริสต์นิกายโปรเตสแตนต์ และยิว

วัฒนธรรม

รากฐานทางสังคมของตุรกีมีมีลักษณะเป็นครอบครัวแบบขยายที่มีความสัมพันธ์ กันทั้งสายเลือดและแต่งงาน โดยยึดถือการสืบทอดทางฝ่ายชาย สมาชิกทุกคนยึดถือปฏิบัติตามหลักศาสนา ผู้ชายทำหน้าที่หัวหน้าครอบครัว ในปัจจุบันมีความพยายามส่งเสริมเรื่องความเท่าเทียมกันระหว่างผู้หญิงและ ผู้ชาย โดยผู้หญิงสามารถออกไปทำงานนอกบ้านได้ ทั้งในส่วนของรัฐบาลและภาคเอกชน แต่ผู้ชายก็ยังมีความคิดว่าผู้หญิงด้อยกว่าทั้งทางด้านร่างกายและอารมณ์

การศึกษา

การศึกษาในประเทศตุรกีเป็นแบบภาคบังคับ และไม่เก็บค่าเล่าเรียนสำหรับนักเรียนตั้งแต่อายุ 6 ถึง 15 ปี อัตราการรู้หนังสือคือร้อยละ 95.3 ในผู้ชาย ร้อยละ 79.6 ในผู้หญิง และเฉลี่ยรวมร้อยละ 87.4  การที่อัตราการรู้หนังสือของผู้หญิงต่ำกว่าชายป็นเพราะในเขตชนบทยังคงมีแนวความคิดแบบเก่าที่ไม่นิยมให้ผู้หญิงเรียนหนังสือ


ภาษา

ประเทศตุรกีมีภาษาทางการเพียงภาษาเดียวคือภาษาตุรกี  ซึ่งภาษาตุรกียังเป็นภาษาที่พูดในหลายพื้นที่ในยุโรป เช่นไซปรัส ทางตอนใต้ของคอซอวอ มาเซโดเนีย และพื้นที่ในคาบสมุทรบอลข่านที่เคยเป็นส่วนหนึ่งของจักรวรรดิออตโตมัน เช่น แอลเบเนีย บอสเนียและเฮอร์เซโกวีนา บัลแกเรีย กรีซ โรมาเนีย และเซอร์เบีย นอกจากนี้ ยังมีผู้ที่ใช้ภาษาตุรกีมากกว่า 2 ล้านคนอาศัยอยู่ในเยอรมนี และมีกลุ่มผู้ใช้ภาษาตุรกีในประเทศออสเตรีย เบลเยียม ฝรั่งเศส อิตาลี เนเธอร์แลนด์ สวิตเซอร์แลนด์ และสหราชอาณาจักร

สถานที่ท่องเที่ยว

สุเหร่าสีน้ำเงิน สุเหร่าสีฟ้า นครอิสตันบูล ตุรกี



รูปสุเหร่าสีน้ำเงิน สุเหร่าสีฟ้า นครอิสตันบูล ตุรก







 มัสยิดสุลต่านอาห์เม็ดหรือสุเหร่าสีน้ำเงิน เป็นหนึ่งในสัญลักษณ์ของเมืองอิสตันบูล สร้างขึ้นในช่วงปี ค.ศ. 1609 – 1616 มีแรงบันดาลใจการสร้างมาจากการต้องการเอาชนะหรือสร้างมัสยิดที่มีขนาดใหญ่กว่าวิหารเซนต์โซเฟียของคริสต์ เพราะแต่เดิมนั้น วิหารเซนต์โซเฟียได้รับการยกย่องให้เป็นหนึ่งในเจ็ดสิ่งมหัศจรรย์ของโลกยุคกลาง ทำให้สุลต่านแห่งออตโตมันหลายพระองค์ต้องการกสร้างมัสยิดขนาดใหญ่ให้เทียบเท่าหรือใหญ่กว่าวิหารเซนต์โซเฟียมาแทบทุกยุคทุกสมัย แต่ไม่เคยมีใครประสบความสำเร็จ
• จนมาถึงในสมัยสุลต่านอาห์เมตที่ 1 เมห์เมต อาอา (Mehmet ) สถาปนิกผู้สร้างสรรค์มัสยิดแห่งนี้ ต้องการแสดงให้โลกรู้ว่าเขามีความสามารถเหนืออาจารย์และสถาปนิกที่ออกแบบวิหารเซนต์โซเฟีย จึงบรรจงออกแบบจนอลังการ
เหตุที่ผู้คนเรียกมัสยิดสุลต่านอาห์เมตที่ 1 (Sultan Ahmet I) ว่า บลูมอสก์ จนกลายเป็นชื่อจริงไปแล้วนั้น เนื่องมาจากสีของกระเบื้องอิซนิคบนกำแพงชั้นในที่มีสีฟ้าสดใส ลายดอกไม้ต่างๆ เช่น กุหลาบ ทิวลิป คาร์เนชั่น ฯลฯ
• โดยให้ตัวมัสยิดหันหน้าเข้าหาวิหารเซนต์โซเฟีย เป็นการประชันความงามกันอยู่คนละฟากฝั่งของจัตุรัสสุลต่านอาห์เมต ที่ซึ่งในฤดูร้อนจะมีงานแสดงแสงสีที่งดงามยามค่ำคืน แม้จะมีเสียงวิพากษ์วิจารณ์ว่าดีไซน์ของมัสยิดแห่งนี้ มองดูคล้ายวิหารเซนต์โซเฟีย แต่ก็ต้องยอมรับว่าเป็นผลงานที่น่าประทับใจ
• เอกลัษณ์ของสุเหร่าสีน้ำเงิน โดดเด่นด้วยหอมินาเร็ต (หอสวดมนต์) 6 หอ ซึ่งปกติหอสวดมนต์ประจำมัสยิดทั่วไปจะมีหนึ่งถึงสองหอและลานด้านหน้าที่ใหญ่ที่สุดในบรรดามัสยิดของออตโตมัน ส่วนการตกแต่งภายในก็ดูยิ่งใหญ่ด้วยหน้าต่างทั้งหมด 260 บาน สลับสล้างด้วยหน้าต่างกระจกสีอันวิจิตรและพื้นที่สำหรับละหมาดขนาดกว้าง ภายในบริเวณมัสยิดมีโรงเรียนสอนศาสนา โรงพยาบาล ที่พักแรกของขบวนคาราวานและโรงครัวต้มน้ำซุป (เรียกว่าคุลลีเย)
• เมื่อเริ่มสร้างองค์สุลต่านมีกระแสรับสั่งให้สร้างหอสวดมนต์เป็นทองคำ ซึ่งคำว่าทองคำในภาษาตุรกี เรียกว่า อัลทึ่น (Altin) สถาปนิกพยายามคิดหาทางออกที่ดี เพราะการสร้างหอทองคำต้องสิ้นเปลืองค่าใช้จ่ายมากและเป็นการไม่สมควร แต่ก็ต้องให้สุลต่านอาห์เมตพอพระทัยด้วย จึงสร้างหอสวดมนต์ 6 หอ สร้างความพอพระทัยในความฉลาดของสถาปนิก จึงไม่ลงทัณฑ์แต่อย่างใด แต่ว่าเมื่อสร้างสุเหร่าสีฟ้าเสร็จแล้วกลับกลายเป็นว่ามีหอสวดมนต์เท่ากับสุเหร่าในนครเมกกะ ซึ่งเป็นการไม่สมควร จึงต้องเพิ่มหอขึ้นอีกหนึ่งแห่งกลายเป็น 7 หอ
• สุลต่านอาห์เมตได้ชื่นชมบลูมอสก์อยู่เพียงปีเดียว ก่อนสิ้นพระชนม์ด้วยวัยเพียง 27 พรรษา
• สำหรับการเยี่ยมสุเหร่าสีน้ำเงินต้องถอดรองเท้า ช่วงที่อากาศเย็นควรที่จะเตรียมถุงเท้าไปด้วย อนุญาตให้คนเข้าไปทำละหมาดได้ 24 ชั่วโมง ช่วงกลางคืนจะมีการแสดงแสงสีเสียงด้วย


วิหารเซนต์โซเฟีย หรือ สุเหร่าฮาเกีย


ทัวร์ตุรกี วิหารเซนต์โซเฟีย
<>
วิหารเซนต์โซเฟียมีชื่อเรียกในภาษาละตินว่า Sancta Sophia และ Haghia Sofia ในภาษากรีก สร้างในสมัยจักรพรรดิจัสติเนียน โดยฝีมือรังสรรค์ของอันเธนิอุสแห่งทรัสลิส และอีซีโดรุสแห่งมีเลตุส ใช้เวลาสร้างเกือบ 6 ปี จึงเสร็จสมบูรณ์เมื่อ ค.ศ. 537 และทำซ้ำอีกครั้งเมื่อ ค.ศ. 563 หลังการซ่อมแซมยอดโดมที่พังลงมาเพราะแผ่นดินไหว
• วิหารเซนต์โซเฟียเป็น 1 ใน 7 สิ่งมหัศจรรย์ของโลกยุคกลาง เป็นโบสถ์คาทอลิก มีหลังคาเป็นยอดกลมแบบโม เสาในโบสถ์เป็นหินอ่อน ภายในติดกระจกสี เมื่อเติร์กเข้าครองเมืองได้เปลี่ยนโบสถ์นี่ให้เป็นสุเหร่าในปี ค.ศ. 1453 โดยการฉาบปูนทับกำแพงที่ปูด้วยโมเสกเป็นรูปพระเยซูคริสต์และสาวก ภายหลังทางการได้ตกลงให้วิหารเซนต์โซเฟียหรือสุเหร่าฮาเกียเป็นพิพิธภัณฑ์ โดนทุกวันนี้คงบรรยากาศของความเก่าขลังอยู่เต็มเปี่ยม โดยเฉพาะโดมที่ใหญ่ที่สุดเป็นอันดับ 4 ของโลกซึ่งมีพื้นที่โล่งภายในใหญ่ที่สุดในโลก ก่อสร้างด้วยการใช้ผนังเป็นตัวรับน้ำหนักของอาคารลงสู่พื้นแทนการใช้เสาค้ำยันทั่วไป นับเป็นเทคนิคการก่อสร้าง ที่ถือว่าล้ำหน้ามากในยุคนั้น (ถือเป็นหนึ่งในเหตุผลสำคัญที่ทำให้ฮาเกียโซเฟียได้รับการยกย่องให้เป็น 1 ใน 7 สิ่งมหัศจรรย์ของโลกยุคกลาง)
• วิหารเซนต์โซเฟียดำรงสถานะเป็นโบสถ์คริสต์มมากว่า 900 ปี ก่อนจะมาถึงจุดเปลี่ยนสำคัญอีกครั้งในวันที่ 29 พ.ค. ปี ค.ศ. 1453 เมื่อกรุงคอนสแตนติโนเปิลถูกตีแตก โดยสุลต่านเมห์เมตที่ 2 หรือเมห์เมตผู้พิชิตแห่งอาณาจักรออตโตมัน หลังพระองค์ยึดเมืองหลวงแห่งไบแซนไทน์ได้ ก็ทรงบังคับพระอาชาสีขาวเสด็จไปยังเซนต์โซเฟียเพื่อทำการละหมาดพร้อมทั้งบัญชาให้ปรับเปลี่ยนสถานะของเซนต์โซเฟียจากโบสถ์คริสต์เป็นมัสยิสของชาวมุสลิม โดยให้ฉาบปูนปิดทับภาพโมเสกอันสวยงามอลังการภายในให้หมด เพื่อเป็นไปตามความเชื่อของศาสนาอิสลามที่ห้ามมีรูปเคารพต่างๆ อีกทั้งยังโปรดให้ทำการสร้างหอสวดมนต์เพิ่มเติมอีกในเวลาต่อมา จึงเป็นการปิดฉากยิ่งใหญ่ของโบสถ์คริสต์ไปโดยปริยาย แต่กลับเป็นการเปิดฉากใหม่ของการสร้างมัสยิดในรูปทรงโดมแบบโบสถ์เซนต์โซเฟียขึ้นมาในอาณาจักรออตโตมัน
• ภายในวิหารเซนต์โซเฟียมีที่ตั้งบัลลังก์จักรพรรดิที่ถือเป็นศูนย์กลางจักรวาล ในห้องมีเสารักษาโรคอยู่ต้นหนึ่ง ซึ่งกล่าวกันว่าสามารถรักษาโรคไมเกรนของจักรพรรดิจัสติเนียนได้เมื่อแนบพระ เศียรลงกับเสา จึงเกิดความเชื่อว่าเสาแต่ละต้นในวิหารสามารถรักษาโรคได้ แต่เมื่อถูกลูบคลำเป็นเวลาหลายศตวรรษ เนื้อเสาก็สึกเว้าเข้าไปจนปัจจุบันต้องนำทองเหลืองมากรุเป็นกรอบ และเรียกรอยเว้านี้ว่า หลุมศักดิ์สิทธิ์
• ความงดงามของภาพโมเสกที่จักรพรรดิจัสติเนียนและจักรพรรดิองค์ต่อๆ มาทรงนำมาประดับวิหารเซนต์โซเฟีย ถูกพวกมุสลิมทำลายไปหลายภาพ ในช่วง ค.ศ. 729 - 843 ภาพที่เหลือรอดมาจนถึงปัจจุบันเป็นเพราะทาน้ำปูนขาวปิดทับเอาไว้อย่างภาพของ พระเยซู จอห์นผู้ล้างบาปและพระแม่มาเรีย รวมถึงภาพจักรพรรดินีโซและพระสวามี คอนสแตนตินที่ 9 โมโนมาคุส ถัดขึ้นไปเป็นภาพอดีตพระสวามี โรมานุส ที่เคยเป็นคนเลี้ยงม้าผู้ล่อลวงจักรพรรดินีโซเพื่อจะยึดอำนาจ แต่กลับสูญเสียทั้งบัลลังก์และชีวิต
• วิหารเซนต์โซเฟียแห่งนี้ได้รับการยกย่องเป็นสุดยอดสถาปัตยกรรมในยุคนั้น มีแผ่นหินอ่อนคอยดูดซับและสะท้อนแสงเทียน และตะเกียงนับพันดวง ภายในจึงสว่างไสว จนพวกคนเดินเรือเข้าใจผิดว่าเป็นประภาคาร แต่ดวงไฟเหล่านี้ก็อาจเป็นต้นเพลิงที่เผาผลาญวิหารหลังเดิม และบ้านเรือนในละแวกใกล้เคียงในยุคนั้นก็ได้
• ภายในวิหารเซนต์โซเฟียมีที่ตั้งบัลลังก์จักรพรรดิที่ถือเป็นศูนย์กลางจักรวาล ในห้องมีเสารักษาโรคอยู่ต้นหนึ่ง ซึ่งกล่าวกันว่าสามารถรักษาโรคไมเกรนของจักรพรรดิจัสติเนียนได้เมื่อแนบพระ เศียรลงกับเสา จึงเกิดความเชื่อว่าเสาแต่ละต้นในวิหารสามารถรักษาโรคได้ แต่เมื่อถูกลูบคลำเป็นเวลาหลายศตวรรษ เนื้อเสาก็สึกเว้าเข้าไปจนปัจจุบันต้องนำทองเหลืองมากรุเป็นกรอบ และเรียกรอยเว้านี้ว่า หลุมศักดิ์สิทธิ์
• ความงดงามของภาพโมเสกที่จักรพรรดิจัสติเนียนและจักรพรรดิองค์ต่อๆ มาทรงนำมาประดับวิหารเซนต์โซเฟีย ถูกพวก
มุสลิมทำลายไปหลายภาพ ในช่วง ค.ศ. 729 - 843 ภาพที่เหลือรอดมาจนถึงปัจจุบันเป็นเพราะทาน้ำปูนขาวปิดทับเอาไว้อย่างภาพของ พระเยซู จอห์นผู้ล้างบาปและพระแม่มาเรีย รวมถึงภาพจักรพรรดินีโซและพระสวามี คอนสแตนตินที่ 9 โมโนมาคุส ถัดขึ้นไปเป็นภาพอดีตพระสวามี โรมานุส ที่เคยเป็นคนเลี้ยงม้าผู้ล่อลวงจักรพรรดินีโซเพื่อจะยึดอำนาจ แต่กลับสูญเสียทั้งบัลลังก์และชีวิต
• ส่วนภาพผู้ใจบุญเป็นภาพของจักรพรรดิคอนสแตนตินและจัสติเนียน ถวายนครอิสตันบูลและวิหารเซนต์โซเฟียบูชาแม่พระ และพระกุมาร ภาพเหล่านี้ถูกพบอีกครั้งเมื่ออาตาตุร์คทำการบูรณะวิหารในทศวรรษ 1930 เพื่อจัดทำเป็นพิพิธภัณฑ์สำหรับคนรุ่นหลัง
เมืองคัปปาโดเจีย
รูปเมืองคัปปาโดเจีย
เมืองคัปปาโดเจีย เป็นบริเวณที่อยู่ระหว่างทะเลดำกับภูเขาเทารุส มีความสำคัญมาแต่โบราณกาลเพราะเป็นส่วนหนึ่งของเส้นทางสายไหมเส้นทางค้าขายแลกเปลี่ยนวัฒนธรรมที่ทอดยาวจากตุรกีไปจนประเทศจีน เป็นพื้นที่พิเศษที่เกิดจากการระเบิดของภูเขาไฟเมื่อประมาณ 3 ล้านปีมาแล้ว ทำให้ลาวาที่พ่นออกมาและเถ้าถ่านจำนวนมหาศาล กระจายไปทั่วบริเวณทับถมเป็นแผ่นดินชั้นใหม่ขึ้นมา จากนั้นกระแสน้ำ ลม ฝน แดด และหิมะ ได้ร่วมด้วยช่วยกันกัดเซาะกร่อนกินแผ่นดินภูเขาไฟไปเรื่อยๆ นับแสนนับล้านปี จนเกิดเป็นภูมิประเทศประหลาดแปลกตาน่าพิศวง ที่เต็มไปด้วยหินรูปแท่งกรวย (คว่ำ) ปล่อง กระโจม โดม และอีกสารพัดรูปทรง ดูประหนึ่งดินแดนในเทพนิยาย จนชนพื้นเมืองเรียกขานกันว่า “ปล่องไฟนางฟ้า” (Fairy Chimney)
• ผู้ที่เรียกชื่อคัปปาโดเจียเป็นคนแรกคือ ฮาลี คานาโซส ต่อมาเปอร์เซียเรียกชื่อเมืองว่า คัตปาตุกา (Katpatuka) แปลว่า ดินแดนแห่งม้าแสนสวย จนปัจจุบันกลับมาเรียกเป็นคัปปาโดเจียเหมือนเดิม
• ในช่วงราวศตวรรษที่ 1 ก่อนคริสตกาล คัปปาโดเจียตกอยู่ภายใต้อิทธิพลของอาณาจักรโรมัน ผู้คนแถบนี้ล้วนต่างเคารพบูชาในเทพเจ้าของกรีกและโรมัน กระทั่งประมาณกลางคริสต์ศตวรรษที่ 1 “เซนต์ปอล” ได้เดินทางมาเผยแผ่ศาสนาคริสต์ในแถบนี้ แต่ดูเหมือนว่าชาวโรมันผู้ปกครองในยุคนั้นจะปฏิเสธและไล่กำจัดทำลายล้างผู้ที่นับถือคริสต์ต้องหลบซ่อนการรังควานของพวกโรมันด้วยการเจาะถ้ำขุดพื้นดินลงไปเป็นอุโมงค์โถงห้อง เกิดเป็นเมืองใต้ดินขึ้นมา ที่สำคัญคือ พวกเขาได้ขุดเจาะบริเวณเกอเรเม่ทำเป็นโบสถ์ถ้ำขึ้นมาเป็นจำนวนมาก
ครั้นพอถึงคริสต์ศตวรรษที่ 5-6 เมื่อโรมันยอมรับในศาสนาคริสต์ ทำให้โบสถ์ถ้ำต่างๆ ในเกอเรเม่ได้รับการปรับแต่ง โบสถ์หลายแห่งมีการวาดภาพจิตรกรรมฝาผนังเป็นรูปนักบุญและเรื่องราวต่างๆ เกี่ยวกับศาสนาคริสต์เพิ่มเตม โดยเฉพาะช่วงกลางยุคไบแชนไทน์ในศตวรรษที่ 9-10 ที่ถือเป็นยุคทองของศาสนาคริสต์ในคัปปาโดเจีย เนื่องจากบ้านเมืองสงบร่มเย็น โบสถ์ถ้ำจำนวนมากได้รับการบูรณะตกแต่งด้วยภาพจิตรกรรมฝาผนังอย่างสวยงามในรูปแบบศิลปะไบแชนไทน์เป็นเอกลัษณ์เฉพาะตัว
• แต่ต่อมาอาณาจักรไบแชนไทน์ถูกพวกเติร์กยึดครองแล้วสถาปนาอาณาจักรออตโตมันขึ้น ดินแดนอนาโตเลียเปลี่ยนผู้ปกครองและพลเมืองอีกครั้งเป็นชาวเติร์กที่นับถือศาสนาอิสลาม ทำให้โบสถ์ ถ้ำ (คริสต์) แห่งคัปปาโดเจียหมดความสำคัญลงทันที หลังการสถาปนาสาธารรัฐตุรกี ในปี ค.ศ. 1923 ชุมชนคริสต์ในคัปปาโดเจียและที่อื่นๆ ในประเทศต้องอพยพนอกจากจากจะถูกทิ้งร้างแล้วยังถูกทำลายไปบางส่วน เพราะขัดต่อหลักความเชื่อในศานาอิสลามที่ห้ามมีรูปเคารพ
• ปี ค.ศ. 1924 มีการร่างสนธิสัญญาโลซานน์ (Lausanne) ซึ่งเป็นสนธิสัญญาเพื่อประกาศอิสรภาพของตุรกี ชาวกรีกได้อพยพออกจากบริเวณนี้ และชาวตุรกีบอลข่านย้ายเข้ามาอยู่แทน และยูเนสโกได้ประกาศให้พื้นที่มหัศจรรย์แห่งนี้เป็นมรดกโลกทางธรรมชาติและวัฒนธรรมแห่งแรกของตุรกีในปี ค.ศ. 1985
• โบราณสถานที่สำคัญ ได้แก่ โบสถ์คริสต์ในภูเขาและถ้ำ กำแพงถ้ำ ที่เป็นโบสถ์มรูปเขียนเรื่องราวของพระเยซูและเรื่องราวของคัมภีร์พระคริสต์ คริสต์ศาสนิกชนจากปาเลสไตน์สร้างโบสถ์นี้ไว้ในราวศตวรรษที่ 8-9 นอกจากโบสถ์แล้ว ยังมีคาราวานซาราย (Karavan Sarayi, Kervansaray หรือ Caravanserai) ซึ่งเป็นที่พำนักสำหรับกองคาราวานอยู่ทั่วไป แสดงให้เห็นว่าบริเวณนี้มีการเดินทางไปมาตั้งแต่อดีต ร่องรอยความเจริญรุ่งเรืองของเซลจุกยังมีปรากฎให้เห็น

นครใต้ดินไคมัคลึ
รูปนครใต้ดินไคมัคลึ
 นครใต้ดินไคมัคลึ เกิดจากการขุดเจาะพื้นดินลึกลงไป 10 กว่าชั้น เพื่อใช้เป็นที่หลบภัยจากข้าศึกศัตรู ในยามสงคราม ของชาวคัปปาโดเจียในอดีต โดยทั้งจากชาวอาหรับจากทางตะวันออกที่ต้องการเข้ามายึดครองดินแดนนี้เพื่อหวังผลประโยชน์ทางการค้า และชาวโรมันจากทางตะวันตกด้วยเหตุผลเดียวกัน รวมทั้งต้องการที่จะหยุดยั้งการเผยแพร่ศาสนาคริสต์ในดินแดนแถบนี้ด้วย
• นครใต้ดินไคมัคลึมีชั้นล่างที่ลึกที่สุด ลึกถึง 85 เมตรทีเดียว เมืองใต้ดินแห่งนี้มีครบเครื่องทุกอย่างทั้งห้องโถง ห้องนอน ห้องน้ำ ห้องถนอมอาหาร ห้องครัว ห้องอาหาร โบสถ์ ทางหนีฉุกเฉิน ฯลฯ แม้จะเป็นเมืองขนาดใหญ่ขุดลึกลงไปใต้ดินหลายชั้น แต่ว่าอากาศในนั้นถ่ายเทเย็นสบาย หน้าร้อนอากาศเย็น หน้าหนาวอากาศอบอุ่น มีอุณหภูมิเฉลี่ย 17-18 องศาเซลเซียส และด้วยการออกแบบที่ดี มีทางออกฉุกเฉินที่เป็นทางระบายอากาศไปในตัว ทำให้อากาศถ่ายเท

พิพิธภัณฑ์กลางแจ้งเกอเรเม่ เมืองคัปปาโดเจีย
รูปพิพิธภัณฑ์กลางแจ้งเกอเรเม่ เมืองคัปปาโดเจีย
พิพิธภัณฑ์กลางแจ้ง เมืองเกอเรเม่ ซึ่งเป็นศูนย์กลางของศาสนาคริสต์ในช่วง ค.ศ. 9 ซึ่งเป็นความคิดของชาวคริสต์ที่ต้องการเผยแพร่ศาสนาโดยการขุดถ้ำเป็นจำนวนมากเพื่อสร้างโบสถ์ และยังเป็นการป้องกันการรุกรานของชนเผ่าลัทธิอื่นที่ไม่เห็นด้วยกับศาสนาคริสต์
• โบสถ์เซนต์บาร์บารา ภายในเจาะเป็นโพรงเพดานโค้ง มีรูปของเซนต์บาร์บาราและพระเยซูเป็นภาพประธานของโบสถ์ เซนต์บาร์บารา เป็นโบสถ์ในยุคแรกๆ ดังนั้น ภาพจึงเป็นสีแดงโมโนโทน ที่ช่างนำยางมาจากเปลือกไม้มาเขียนลงบนผนังหรือเพดานถ้ำ ก่อนจะฉาบทับบางๆ ด้วยปูน (เทคนิคการเขียนสีแบบนี้มีมาก่อนเทคนิคปูนเปียกหรือเฟรสโก ซึ่งเป็นเทคนิคที่นิยมใช้กันมากที่สุดในเกอเรเม่)
• นอกจากนี้ยังมี โบสถ์มังกร (ชื่อพื้นเมืองคือ Yilani Kilise) ภายในโดดเด่นไปด้วยภาพของเซนต์เทโดออร์และเซนต์จอห์นบนหลังม้ากำลังต่อสู้กับมังกร สื่อสัญลักษณ์ถึงการต่อสู้กับสิ่งชั่วร้าย, โบสถ์แอปเปิ้ล ตั้งชื่อตามที่มีต้นแอปเปิ้ลปลูกไว้ด้านหน้าโบสถ์ ส่วนภาพเขียนเฟรสโกภายในโบสถ์ที่มีรูปหลักคือ พระแม่มารีและพระเยซูถูกตรึงกางเขนก็มีรูปต้นแอปเป้ลอยู่ด้วยเช่นกัน

2 ความคิดเห็น:

  1. ได้ความรู้ ประเทศตุรกี เยอะเลยครับขอขอบคุณเจ้าของ blogครับ

    ตอบลบ
  2. ขอบคุณครับ ได้รู้เรื่องราวต่างๆของประเทศตุรกี

    ตอบลบ